สำหรับคนทั่วไป ที่ไม่ใช่สถาปนิก วิศวกร หรือผู้ที่ทำงานด้านก่อสร้าง อาจไม่คุ้นเคยกับแบบแปลนบ้านที่มีเส้น และสัญลักษณ์ที่ดูซับซ้อน จนบางครั้ง อาจมองว่ามันเข้าใจยาก เลยเลือกที่จะดูแบบผ่านๆ และสนใจแต่แบบสามมิติแทน ซึ่งมักเกิดข้อผิดพลาดในการสื่อสารได้ง่าย
หากเรารู้วิธีอ่านแบบบ้าน จะช่วยให้เราเข้าใจแบบ และสื่อสารกับทั้งสถาปนิก-ผู้รับเหมา ได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น วันนี้มิไรเลยอยากที่จะมาแชร์วิธีอ่านแบบสถาปัตยกรรมอย่างง่าย ให้ได้ศึกษากันครับ
รูปแบบของ ‘แบบสถาปัตยกรรม’
แบบสถาปัตยกรรมที่เราเห็นส่วนมากมักจะมากันในรูปแบบของ ปึกแผ่นกระดาษ A3 ที่เป็นขนาดที่นิยมกันมากที่สุด เพราะสามารเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างชัดเจน และจัดเก็บได้สะดวก แต่ละบริษัท หรือสถาปนิกแต่ละคน จะมีรูปแบบการเขียน การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ แตกต่างกันไปบ้าง แต่องค์ประกอบและหน้าตาหลักๆ ของแบบ จะมีโครงที่คล้ายกัน ดังนั้นเรามาเริ่มดูองค์ประกอบของแบบแปลนผังพื้น(ที่สำคัญที่สุด) กันเลยดีกว่าครับ

- หัวกระดาษ(Head): ระบุผู้ออกแบบ, สถาปนิก และวิศวกรที่รับผิดชอบพร้อมลายเซ็น, ชื่อโครงการ พร้อมที่อยู่, เจ้าของโครงการ, ชื่อแบบในแผ่นนั้นๆ, หมายเหตุต่างๆ, มาตราส่วน, วันที่, เลขหน้าของแผ่นนั้น, ฯลฯ
- ชื่อแบบ พร้อมมาตราส่วน: มักจะอยู่ด้านล่างใต้แบบนั้นๆ มาตราส่วนจะใช้ระบุขนาดในแบบ ต่อขนาดของจริง ตัวอย่างเช่น มาตราส่วน 1 : 100 หมายถึง 1 ซม. ในกระดาษ มีค่าเท่ากับ 1 เมตร บนที่จริง เราสามารถใช้ไม้สเกลต่างๆ เพื่อวัดระยะในแบบที่ไม่ได้ระบุไว้ได้ด้วย ไม้สเกล (อ่านเรื่องเครื่องมือวัดได้ที่นี่)
- แบบ drawing: เส้นต่างๆ ที่วาดแทนองค์ประกอบของบ้าน หรือสิ่งก่อสร้าง
- สัญลักษณ์ประกอบแบบ: สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ใช้เพื่อสื่อความหมาย โดยทั่วไปจะมีตารางสัญลักษณ์บอกความหมายกำกับอยู่ ตัวอย่างเช่น สัญลักษณ์บอกทิศ สัญลักษณ์รูปด้าน / รูปตัด และ สัญลักษณ์แนวเสา(Grid line) ที่ไว้ใช้ระบุตำแหน่งเสา เช่น เสาซ้ายบนสุดตามภาพ จะเรียกชื่อว่าเสา A1

โดยในผังพื้นจะแบ่งออกเป็นผังต่างๆ อีกหลายชนิด เช่น ผังระยะผนัง ผังฝ้าเพดาน ผังไฟฟ้ากำลัง เป็นต้น ซึ่งต่างมีสัญลักษณ์ที่ใช้แตกต่างกันออกไป วันนี้ก็จะขอนำแต่ละผังมาให้ได้ลองดูกันครับ เริ่มไปกันที่ละหน้าเลยนะครับ
1) ผังพื้น
(ดูรูปตัวอย่างผังพื้นด้านบน)
ผังพื้น (Floor plan) เป็นแบบที่บอกรายละเอียด ภาพรวมที่จะทำให้เราทราบถึงลักษณะโดยรวมของอาคาร ในมุมมองแบบตัดครึ่งบ้านจากด้านบน คิดภาพว่าเราบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วมองลงมา โดยจะมีตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ ระบุลักษณะผนัง ระบุแบบประตู-หน้าต่าง รวมถึงระบุตำแหน่งการอ่านรูปตัด รูปด้านต่างๆ ว่าต้องไปดูต่อที่หน้าไหนอีกด้วย สัญลักษณ์ที่มีปรากฎ ที่เจ้าของบ้านควรรู้มีดังนี้
- สัญลักษณ์รูปด้าน: บอกเพื่อกำหนดทิศทางมองจากภายนอก หรือภายในอาคาร (มองแบบสองมิติ) พร้อมระบุเลขหน้าที่เขียนรูปด้านนั้นเอาไว้อยู่
สัญลักษณ์รูปด้าน ตัวอย่างรูปด้าน รูปด้านจะระบุความสูงต่างๆ รวมถึง วัสดุภายนอกอาคาร รูปด้านนี้คือ ” รูปด้าน 1 ” ลองกลับไปเช็คที่ผังพื้นกันดู! - สัญลักษณ์รูปตัด และแบบขยาย: คล้ายคลึงกับรูปด้าน แต่ รูปตัด จะเป็นการมองแบบผ่าครึ่งตามมุมนั้นๆ โดยจุดประสงค์หลักเพื่อระบุความสูงของระดับต่างๆ เช่น พื้น ฝ้า หลังคา เป็นต้น และแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ภายในบ้าน ที่ไม่สามารถมองจากรูปด้านได้ ส่วน แบบขยาย จะเป็นการวงรอบส่วนที่ต้องการเขียนรายละเอียดเพิ่มเติม เนื่องจากพื้นที่เล็กไป หรือไม่พอต่อการอธิบายผ่านแบบ
สัญลักษณ์รูปตัด และแบบขยาย ตัวอย่างรูปตัด: ลองกลับไปหารูปตัด C ที่ผังพื้นดูสิ! - สัญลักษณ์ประตู-หน้าต่าง: กำหนดรูปแบบประตู พร้อมทิศทางการเปิด และระบุเลขที่ของประตูนั้นๆ โดยเราสามารถเปิดหา “แบบขยายประตู-หน้าต่าง” ภายในเล่มแบบสถาปัตยกรรมนั้นๆ และหาเลขที่ประตู-หน้าต่างที่ต้องการ เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
สัญลักษณ์ประตู-หน้าต่าง ประตูหน้าต่างที่มักใช้กันในบ้าน มีดังนี้
-บานเปิด หรือ บานสวิง: เปิดออกแบบประตูทั่วไป ดูตำแหน่งเส้นประ เพื่อบอกวงเปิด และจุดหมุน
-บานเฟี้ยม: บานที่เลื่อนร่นกันไปเก็บที่ด้านข้าง จุดหมุนจะอยู่ติดกันไปเรื่อยๆ ในรูปผังพื้นจะเห็นเป็นเหมือนเส้นซิกแซก
-บานเลื่อน: บานเลื่อนซ้าย-ขวา ตามทางที่ลูกศรชี้
-บานเลื่อนสลับ: เหมือนบานเลื่อน แต่เลื่อนไปมาได้ซ้ายขวา (ทั่วไปเป็นแบบสองบาน)
-บานเกล็ด: บานที่เป็นเกล็ดระบายอากาศ ทิศที่เอียงไป เป็นทางที่เกล็ดชี้ลง
-บานกระทุ้ง: บานแบบผลักออกโดยมีจุดหมุนอยู่ด้านบน
-บานหมุน: เหมือนบานสวิง แต่จุดหมุนจะไม่ได้อยู่ที่ปลายด้านใดด้านหนึ่ง (และไม่จำเป็นต้องมีจุดหมุนตรงกลางเสมอไป)
-บานยึดตาย / ติดตาย: จะมีสัญลักษณ์ FIX หรือ ไม่มีเลยก็จะนับเป็นบานตายเช่นเดียวกัน
(ส่วนเส้นเล็กๆ สามเส้นที่อยู่บนทุกบานคือสัญลักษณ์กระจก)ตัวอย่างสัญลักษณ์ประตู-หน้าต่างแบบต่างๆ - ตำแหน่งบันได และทางขึ้น: บันไดให้ดูตามลูกศรชี้และระบุตัวอักษรว่าขึ้นหรือลง หากเป็นทางลาดให้ดูปลายลูกศรสัญลักษณ์ทางลาดชี้ ทางที่ลูกศรชี้จะเป็นที่ระดับต่ำกว่า หรือลาดเอียงไปทางนั้น บันไดก็มีแบบขยายเช่นกัน โดยจะแยกไปเขียนขยายอยู่อีกหน้าหนึ่ง หากต้องการทราบระดับบันไดที่ชัดจนสามารถเปิดไปหา “แบบขยายบันได” ภายในเล่มได้เลย
สัญลักษณ์บันได และทางลาด - สัญลักษณ์แรงเงาแบบต่างๆ: สัญลักษณ์นี้จะพบได้ทั้งในผังพื้น และ รูปด้าน รูปตัดต่างๆ แสดงถึงวัสดุบนผิวนั้นๆ ในทางศัพท์การเขียนแบบจะเรียกว่า ‘ลาย Hatch’ โดยสิ่งที่ควรทราบเบื้องต้นจะเป็นสัญลักษณ์ 6 แบบตามภาพด้านล่าง
ตัวอย่างรูปแบบสัญลักษณ์แรเงาวัสดุต่างๆ (Hatch)
2) ผังระยะผนัง

ผังระยะผนัง หรือ Dimension plan จะเป็นผังที่ระบุระยะของผนัง และโครงสร้างต่างๆ อีกทั้งยังระบุว่าผนังนั้นๆ ตกแต่งด้วยวัสดุใด เช่น ผนังทาสีฉาบเรียบ ผนังปูกระเบื้อง เป็นต้น สัญลักษณ์ที่สำคัญในผนังนี้ ก็คือ “สัญลักษณ์บอกระยะ” ที่แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ริม-ริม, กลาง-กลาง, และ ริม-กลาง

สัญลักษณ์ ริม-ริม ใช้บอกระยะจากปลายของโครงสร้างหนึ่งมายังอีกปลายโครงสร้างหนึ่ง
สัญลักษณ์ กลาง-กลาง ใช้บอกระยะจากจุดศูนย์กลางของสิ่งหนึ่ง มายัง ศูนย์กลางของอีกสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างที่มักพบเห็นเช่น ระยะกริดเสาต่างๆ ระยะดวงโคมไฟ
สัญลักษณ์ ริม-กลาง จะใช้บอกระยะจากศูนย์กลางไปยังปลายของอีกสิ่ง ตัวอย่างที่มักพบเห็นเช่น จากเสาไปยังรั้ว จากก๊อกน้ำไปยังขอบอ่าง
สัญลักษณ์อีกประเภทหนึ่งที่รู้ไว้ไม่เสียหายคือ ตัวอักษร EQ. บนเส้นบอกระยะ ที่มาแทนที่ตัวเลข ซึ่งเจ้าตัวนี้จะหมายถึงการ ‘แบ่งเท่ากัน’ หรือ ‘สัดส่วนเดียวกัน’ ใช้เพื่อแบ่งระยะออกเป็นส่วนๆ ให้เท่ากันอย่างเป็นนัยยะเพื่อลดความผิดพลาดที่จะเกิดข้นหากระยะในแบบกับระยะหน้างานต่างกัน

3) ผังวัสดุพื้น

ผังวัสดุพื้น หรือ Floor pattern plan จะเป็นผังที่บอกถึงวัสดุของพื้นต่างๆ และระดับของพื้น (ในภาพตัวอย่างไม่มีบอกระดับ) เราสามารถดูทิศทางการปูกระเบื้องได้จากผังนี้ โดยจะมีการกำหนดจุดเริ่มต้นปูกระเบื้องไว้อย่างชัดเจนในแบบ
4) ผังฝ้าเพดาน

ผังฝ้าเพดาน หรืออีกชื่อคือ Reflected ceiling plan คือผังที่แสดงรูปแบบฝ้าเพดานโดยการ ‘สะท้อน’ ภาพจากด้านล่าง เพื่อแสดงลักษณะของฝ้า เช่น การทำฝ้าหลุม ฝ้าหลืบ ต่างๆ รวมถึงระบุวัสดุที่ใช้ทำฝ้า พร้อมระบุระยะในแต่ละจุด ส่วนในจุดที่ซับซ้อนจะมีแบบขยายเพิ่มเติม
5) ผังไฟฟ้าแสงสว่าง

ผังไฟฟ้าแสงสว่าง (Lighting plan) เป็นผังที่แสดงการติดตั้งดวงโคมไฟโดยระบุชนิด ระยะที่ติดตั้ง และวงจรในแต่ละสวิตช์ โดยเราจะเห็นเส้นประของเฟอร์นิเจอร์ ทำให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าไฟดวงนี้จะส่องลงไปบริเวณไหน การอ่านวงจรของไฟสามารถทำง่ายๆ โดยการไล่จากเส้นประที่เชื่อมโยงไฟจุดต่างๆ เข้าด้วยกันไปยังสัญลักษณ์สวิตช์ไฟ ในเส้นนั้นก็จะหมายถึง หากเปิดสวิตช์ตัวนั้น ไฟที่เชื่อมกันจะติดพร้อมกัน (สัญลักษณ์โคมไฟประเภทต่างๆ จะอยู่ในหัวข้อถัดไป)

6) ผังไฟฟ้ากำลัง

ผังไฟฟ้ากำลัง หรือ Electrical plan เป็นผังที่แสดงตำแหน่งของงานระบบไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้าน เช่น ตำแหน่งปลั๊กไฟ ตู้เมนไฟ ตำแหน่งสายโทรศัพท์ การทิ้งสายไฟต่างๆ เป็นอีกหนึ่งแบบที่สำคัญมาก หากทางเจ้าของบ้านดูผังนี้เป็น และนึกได้ว่าต้องเพิ่มไฟบางจุด ก่อนที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็จะสามารถแก้ไขได้โดยไม่เสียหายมาก โดยปกติสัญลักษณ์ต่างๆ จะถูกระบุไว้ในแบบอยู่แล้ว โดยเราก็ได้นำสัญลักษณ์ที่พบบ่อย มาให้ดูกันตามภาพด้านล่างเลยครับ

นอกจากแปลนต่างๆ แล้ว ก็ยังมีแบบยิบย่อยอีกมากมายในการที่จะประกอบกันเป็นแบบก่อสร้างบ้านหนึ่งหลังขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม หากเราพอรู้ และเข้าใจวิธีการอ่านแบบเบื้องต้น โดยเฉพาะแบบผังต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น แบบผังพื้น ผังระยะผนัง ผังวัสดุพื้น ผังฝ้าเพดาน ผังไฟฟ้าแสงสว่าง ผังไฟฟ้ากำลัง รูปด้าน รูปตัด เหล่านี้ เราก็สามารถมั่นใจในระดับหนึ่งได้เลยหละครับว่า เราสามารถอ่าน ทำความเข้าใจ และตรวจสอบได้ว่า แบบบ้านนี้มีอะไรที่เราอยากปรับแก้ไข หรือ ตรงใจเราดีแล้วหรือยัง ก่อนที่จะตัดสินใจในขั้นต่อไปในอนาคตครับ
^^
หลังจากที่อ่านแบบเป็นแล้ว เรามาลองขั้นต่อไปกันเลยมั้ยครับ?
หาไอเดียแต่งบ้านด้วย Pinterest สวย ชัด ง่ายกว่าที่คิด
จะสร้างบ้าน เริ่มยังไง จ้างแบบไหนได้บ้าง?
Leave a Review